เมื่อพูดถึงกระเป๋า Chanel หลายคนอาจนึกถึงความหรูหราแบบคลาสสิกที่มาพร้อมกลิ่นอายวินเทจ ที่ทางแบรนด์ Chanel ไม่เคยหยุดพัฒนา และหนึ่งในผลงานที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูเท่ขึ้นทันที คือ Chanel Boy Bag กระเป๋าที่ผสมผสานความแข็งแรง เนี้ยบ และโมเดิร์น ได้อย่างลงตัว
Chanel Boy เปิดตัวครั้งแรกใน ปี 2011 โดยดีไซเนอร์ระดับตำนานอย่าง Karl Lagerfeld ซึ่งในขณะนั้นเขาต้องการออกแบบกระเป๋าที่มีความ “เท่” กว่ากระเป๋า Chanel ทั่วไป ที่มักดูหวานและเป็นผู้หญิง Karl ได้แรงบันดาลใจจาก Arthur “Boy” Capel ชายคนสำคัญในชีวิตของ Coco Chanel
Boy Capel ไม่เพียงเป็นคนรักของ Coco Chanel เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สนับสนุนหลักในชีวิตการทำงานของเธอในยุคเริ่มต้น และเป็นบุคคลที่เธอรักอย่างสุดหัวใจ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1919 ความทรงจำของเขาถูกถ่ายทอดผ่านดีไซน์กระเป๋าใบนี้ที่ชื่อว่า “Boy”
เจาะลึกถึงไซซ์ที่เหมาะสม
Chanel Boy เป็นกระเป๋ารุ่นยอดนิยมที่รวมความเท่ หรู และคลาสสิกในใบเดียว แต่ก่อนจะลงทุนกับกระเป๋าใบนี้ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่า แต่ละไซซ์ต่างกันอย่างไรบ้าง? มาดูรายละเอียดพร้อมคำแนะนำในการเลือกให้ตรงไลฟ์สไตล์ของคุณ
1. Mini Size
ขนาด 15 x 10 x 6 Cm. หรือ 6 x 3.7 x 2.25 Inch.
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระเป๋าขนาดเล็กกระทัดรัด ใส่ของจำเป็นได้ เช่น โทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ใบเล็ก ลิปสติก เหมาะกับการออกงานที่ไม่ต้องการพกพาสัมภาระมาก ใช้ออกงานกลางคืน, งานเลี้ยง, หรือวันที่ต้องการความคล่องตัวสูง
2. Small Size
ขนาด 20 x 12 x 8.5 Cm. หรือ 8 x 4.7 x 3.3 Inch.
เป็นขนาดที่ได้รับความนิยม เหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ใส่ของใช้ส่วนตัวได้พอสมควร เช่น โทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ขนาดกลาง กุญแจ เครื่องสำอาง ใช้ในชีวิตประจำวัน, ออกไปทานอาหาร, พบปะเพื่อนฝูง
3. Medium Size
ขนาด 25 x 15 x 9 Cm. หรือ 9.8 x 5.9 x 3.5 Inch.
เป็นขนาดกลางดั้งเดิม จุของได้มากกว่า Small เล็กน้อย แต่ยังคงความคล่องตัว เหมาะสำหรับทั้งกลางวันและกลางคืน ใช้ในชีวิตประจำวัน, ไปทำงาน (ในกรณีที่มีสัมภาระไม่เยอะมาก) รวมถึงออกงานกึ่งทางการต่าง ๆ
4. Large Size
ขนาด 30 x 21 x 10 Cm. หรือ 11.8 x 8.3 x 3.9 Inch.
เป็นขนาดที่ใหญ่ที่สุด จุของได้มาก เหมาะสำหรับเดินทาง หรือวันที่ต้องการพกพาสัมภาระจำนวนมาก ใช้ในโอกาสที่เดินทาง วันที่ต้องการใส่ของเยอะ หรือสำหรับผู้ที่ชอบกระเป๋าขนาดใหญ่
อะไหล่ที่มีอย่างหลากหลาย
ในส่วนของอะไหล่ Chanel Boy มีประมาณ 5-6 สีหลักที่ได้รับความนิยม โดยแต่ละสีมีเอกลักษณ์และเหมาะกับสไตล์ของคนที่แตกต่างกัน วันนี้แบคนิฟิคจึงขอพามาดูรายละเอียดของ สีอะไหล่ในแต่ละแบบ พร้อมคำแนะนำว่าแต่ละสีนั้นเหมาะกับไลฟ์สไตล์ใดบ้าง
1. Gold Hardware (อะไหล่ทองเงา)
ลักษณะ : สีทองสด เงาวับ หรูหรา
เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนที่ชอบลุคหรูหรา คลาสสิก เน้นการใส่เสื้อผ้าโทนอุ่น เช่น ครีม น้ำตาล แดงเบอร์กันดี รวมถึงสาว ๆ ที่แต่งตัวสไตล์ผู้หญิง และมีโอกาสออกงาน
2. Antique Gold Hardware (อะไหล่ทองวินเทจ)
ลักษณะ : ทองเข้ม มีความด้าน ดูวินเทจ
เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนที่ชอบสไตล์วินเทจ เท่ ๆ ไม่เงาจนเกินไป รวมถึงคนที่ชอบเสื้อผ้าแนว casual chic หรือแฟชั่นสตรีทแบบหรู แนะนำสำหรับใครที่อยากได้ลุคที่มีความหรูแต่ไม่ทางการเกินไป
3. Silver Hardware (อะไหล่เงินเงา)
ลักษณะ : เงาวับ สว่าง ดูสะอาดตา
เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนที่ชอบลุคเรียบ หรู ดูแพงแบบมินิมอล รวมถึงคนที่ใส่เสื้อผ้าโทนเย็น เช่น ขาว ดำ เทา ฟ้า เหมาะกับทุกวัย โดยเฉพาะคนที่ต้องการลุคที่ใช้งานง่าย
4. Ruthenium Hardware (อะไหล่เทารมควัน)
ลักษณะ : สีเทาเข้มอมดำ มีความแมทเท่ ๆ
เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนที่ชอบลุคดุดัน ทะมัดทะแมง สายสตรีท สายแฟชั่น หรือแต่งตัวแนวโมเดิร์น สำหรับใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้าน แต่อยากได้อะไรที่ดูมีเอกลักษณ์
5. Black Hardware (อะไหล่ดำ)
ลักษณะ : สีดำเรียบ หรู โมเดิร์น
เหมาะกับใครกับไลฟ์สไตล์ของคนที่ชอบความลึกลับ เท่ หรือใครที่ชอบใช้กระเป๋าที่ไม่เหมือนใคร เนื่องจากค่อนข้างหายาก ความ So Black จะเพิ่มความพิเศษให้กับลุค ไม่ซ้ำใครแน่นอน
6. Rainbow Hardware (อะไหล่สีรุ้ง)
ลักษณะ: สีรุ้งสะท้อนแสง หายาก มักพบในคอลเลกชันลิมิเต็ด
เหมาะกับคนที่ชอบความโดดเด่น ไม่เหมือนใคร สายแฟชั่นจัดเต็ม ชอบของสะสม ไม่เหมาะกับสายมินิมอลหรือคนที่ต้องการใช้งานทุกวัน
สำหรับใครที่กำลังมองหากระเป๋าแบรนด์เนมที่ฉีกกรอบเดิม ๆ และมีภาพลักษณ์ใหม่ที่ เท่ แกร่ง และโมเดิร์น จนกลายเป็นไอเท็มที่นักสะสมและคนรักแฟชั่นทั่วโลกหลงรัก Chanel Boy คือคำตอบที่ดีที่สุด
โดยเฉพาะ Chanel Boy จากร้าน Bagnifique Brandname เรามีการคัดสรรกระเป๋า Chanel ทั้งมือหนึ่งและมือสองเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกท่าน อย่างเหมาะสม!